สถิติเกม พอจบเกมที่ สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ เราจะได้รู้กันว่า เรอัล มาดริด จะได้แชมป์แบบทิ้งห่าง เอซี มิลาน ทีมที่เป็นอันดับ 2

สถิติเกม พอจบเกมที่ สต๊าด เดอ ฟร้องซ์ เราจะได้รู้กันว่าเรอัลมาดริด จะได้แชมป์แบบทิ้งห่าง เอซี มิลาน ทีมที่เป็นอันดับ 2 แบบเท่าตัว ด้วยจำนวน 14สมัย หรือว่าลิเวอร์พูล จะก้าวขึ้นมาเป็นทีมที่ได้สัมผัสกับถ้วยบิ๊กเอียร์มากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับ 2 ร่วมกับ “รอสโซเนรี่”

หลังจากปัจจุบันพวกเขาได้แชมป์ 6 ครั้งเท่ากับ บาเยิร์นมิวนิค อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องดังกล่าวแล้วนั้น มันยังมีสถิติอีกหลายอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากค่ำคืนที่กรุงปารีสเช่นกัน ซึ่งวันนี้เราจะมายกตัวอย่างกันสักหน่อยว่ามีสถิติหรือเกร็ดแบบไหนบ้าง

ที่อาจจะได้รับการจารึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของเกมระดับแชมเปี้ยนส์ลีก หากมันเกิดเงื่อนไขบางอย่างขึ้น อันเช่ นั่งบัลลังก์แบบเดี่ยวๆ หากเป็นแชมป์ ปัจจุบันมีกุนซือ 3 คนที่ได้แชมป์แชมเปี้ยนส์ลีก/ยูโรเปี้ยนคัพ 3สมัย หนึ่งในนั้นก็คือ คาร์โล อันเชล็อตติ นั่นเอง

โดยอีก 2 คนคือ ซีเนดีน ซีดาน ที่ได้ร่วมกับ เรอัลมาดริด ครบทั้ง 3สมัย และบ็อบ เพสลี่ย์ ที่ได้ร่วมกับ ลิเวอร์พูล 3หน นอกจากนี้ อันเชล็อตติ ก็จะกลายเป็นกุนซือที่ได้แชมป์ในรายการฟุตบอลถ้วยยุโรปในระดับสโมสรแบบนับรวมทุกรายการมากที่สุด

ตลอดกาลแบบเดี่ยวๆ ที่จำนวน 8 รายการด้วย โดยปัจจุบันเขาครองบัลลังก์ร่วมกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และโจวานนี่ ตราปัตโตนี่ ลิเวอร์พูลเปิดแผลให้มาดริด หากชนะ นับตั้งแต่ที่ศึกชิงถ้วยบิ๊กเอียร์เปลี่ยนชื่อจากยูโรเปี้ยนคัพ มาเป็นแชมเปี้ยนส์ลีก นั้น

มาดริดยังไม่เคยแพ้ในนัดชิงชนะเลิศเลย จากการเข้าชิงทั้งหมด 7 ครั้ง นั่นหมายความว่าทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะเป็นทีมแรกที่ทำอย่างนั้นได้หากเป็นฝ่ายได้ชูถ้วยแชมป์ในบั้นปลาย รีวิวเจ็ทสกี

สถิติเกม

ลิเวอร์พูลจะก้าวขึ้นมาเป็นทีมที่ได้สัมผัสกับถ้วยบิ๊กเอียร์มากที่สุดตลอดกาลเป็นอันดับ 2

สถิติเกม เบนเซม่า > โรนัลโด้ หากทำประตูได้ นี่เป็นอีก 1 ฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมสำหรับ คาริม เบนเซม่า กองหน้าของมาดริด หลังจากเขาทำประตูไปแล้ว 44 ลูกจากการลงเล่น 45 นัดในทุกรายการ โดยในจำนวนนั้นเป็นการยิงในรอบน็อกเอาต์ของแชมเปี้ยนส์ลีก 10ลูก

ทำให้ตอนนี้ เบนเซม่า เป็นนักเตะที่ยิงในรอบน็อกเอาต์ของแชมเปี้ยนส์ลีก ได้มากที่สุดตลอดกาลเท่ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ใช่แล้ว ถ้าหาก เบนเซม่า ยิงได้แค่ลูกเดียว เขาก็จะก้าวขึ้นไปอยู่เหนือกว่า โรนัลโด้ ในด้านนี้ได้ทันที เบล กับโอกาสสร้างสถิติ หากยิงได้หรือเป็นแชมป์

มันเป็นที่แน่นอนแล้วว่า แกเร็ธ เบล จะอำลามาดริด หลังจบซีซั่นนี้ ถึงกระนั้นเขาก็มีโอกาสได้สั่งลาแบบงดงามเหมือนกัน เพราะหากทำประตูได้แค่ 1 ลูก เขาก็จะทาบสถิติของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในด้านการเป็นคนที่ทำประตูในนัดชิงชนะเลิศของแชมเปี้ยนส์ลีก

ได้มากที่สุุดตลอดกาล ที่จำนวน 4 ประตู หรือหากเป็นแชมป์แล้วนั้น เบล ก็จะกลายเป็นนักเตะจากชาติในเครือสหราชอาณาจักรที่ได้สัมผัสถ้วยบิ๊กเอียร์มากที่สุดตลอดกาลแบบเดี่ยวๆ ด้วยจำนวน 5 สมัยทันที หลังจากปัจจุบันเขาครองสถิติร่วมกับ ฟิล นีล อดีตแข้ง ลิเวอร์พูล

อลีสซง กลายเป็นคนแรก หากไม่เสียประตู ด้วยความที่ปกติแล้วคู่ชิงดำของเกม แชมเปี้ยนส์ลีก จะเป็นทีมที่มีเกมรุกโหดจัด ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีผูู้รักษาประตูไม่กี่คนที่เก็บคลีนชีทได้ โดยที่ผ่านมาไม่เคยมีนายทวารคนไหนที่เก็บคลีนชีทในนัดชิงชนะเลิศของแชมเปี้ยนส์ลีก ได้เกิน 1 เกมเลย

แต่วันนี้ อลีสซง เบ็คเกอร์ จอมหนึบของ ลิเวอร์พูล มีโอกาสที่จะสร้างประวัติศาสตร์เป็นคนแรกที่ทำแบบนั้น หลังจากเคยพาทีมทุบ สเปอร์ส 2-0 ในนัดชิงดำของฤดูกาล 2018-19 https://www.lynnmeadowsgolf.com

สถิติเกม

มาเน่ทุบสถิติ แลมพาร์ด หากยิงได้ จนถึงตอนนี้มีนักเตะจากสโมสรของเกาะอังกฤษที่ทำประตูในรอบน็อกเอาต์ของเกมระดับ แชมเปี้ยนส์ลีก ได้มากที่สุดอยู่ 2 คน นั่นคือ ซาดิโอ มาเน่ กับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ส่องไปคนละ 15 ประตู และถ้าหาก มาเน่ ยิงได้

เขาก็จะไม่ต้องครองบัลลังก์นี้ร่วมกับ แลมพาร์ด อีกต่อไป โมดริช ทาบตำนาน หากมีสกอร์ แม้ว่าจะมีอายุ 36 ปีเข้าไปแล้ว แต่ว่า ลูก้า โมดริช จอมทัพมาดริด ก็แสดงให้เห็นว่าเขายังมีฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม และหากเขาทำประตูได้ โมดริช ก็จะกลายเป็นนักเตะคนที่ 2

สามารถทำประตูในนัดชิงดำของเกมแชมเปี้ยนส์ลีก ได้แม้ว่าจะเข้าสู่วัย 36 ปีไปแล้วก็ตาม โดยคนแรกคือ เปาโล มัลดินี่ ตำนานแนวรับของ เอซี มิลาน และมันบังเอิญเหลือเกินที่ มัลดินี่ ทำสถิติที่ว่าได้ในตอนเจอกับ ลิเวอร์พูลพอดี จบการรอคอยที่ยาวนาน หากแข้งอังกฤษยิงได้

ฟังดูแล้วอาจจะทำให้หลายคนแปลกใจ แต่เชื่อหรือไม่ว่านับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา ไม่เคยมีนักเตะชาวอังกฤษคนไหนเลยที่สามารถทำประตูในนัดชิงชนะเลิศของเกม แชมเปี้ยนส์ลีกได้ แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีนัดชิงดำถึง 4 ครั้งที่มีทีมจากอังกฤษลงเล่นก็ตาม

โดยคนสุดท้ายที่ทำอย่างนั้นได้ก็คือ เวย์น รูนี่ย์ อดีตหัวหอก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั่นเอง ซึ่งหากนักเตะชาวอังกฤษสักคนของ ลิเวอร์พูล ทำประตูได้ ช่วงเวลาที่ว่าก็จะสิ้นสุดลง